เมื่อสามวันก่อน มีน้องคนนึงในคลาส
เดินเข้ามาหาหลังจากที่เราบรรยายจบ
หน้าตาสีหน้าของน้องก็ดูปกติดี
แต่หลังจากเราเอ่ยปากทักน้องคำแรกว่า
"มีอะไรให้พี่ช่วยไหมค่ะ"
เท่านั้นสีหน้าของน้องคนนั้นเปลี่ยนไปทันที
และน้องก็ค่อยๆเล่าออกมาว่า
ตอนนี้เขากำลังเผชิญอะไรอยู่บ้าง
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องแฟน และเรื่องคุณพ่อคุณแม่ของน้องเขา
สำหรับเด็กอายุวัย 20 ต้นๆ อาจจะมองว่ามันหนักไป
ที่เขาต้องมาเผชิญเรื่องแบบนี้ พร้อมๆกัน
น้องเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
มันเหมือนเป็นมรสุมของชีวิตก็ว่าได้
เราเองก็ยังไม่รู้จักน้องเขาดีพอ
เลยไม่กล้าไปตัดสินใจอะไรแทนน้องเขา
ได้แต่รับฟังและพยายามเข้าใจในจุดที่น้องเป็น
ให้ได้มากที่สุด
คำถามที่น้องถามมาตอนท้ายกับเราว่า
ถ้าพี่เป็นหนู พี่จะทำอย่างไรค่ะ?
เราเลยค่อยๆตอบแบบทวนคำถาม
เหมือนที่น้องเขาเล่าให้เราฟัง
เพื่อให้น้องเขาได้ฟังเสียงตนเองอีกครั้งหนึ่ง
จากนั้นก็ลงท้ายให้น้องเขาคิดต่อว่า
ไม่มีอะไรผิดหรือถูกเสมอไปหรอก
และไม่มีใครอาจล่วงรู้อนาคตของตนเองได้
เพียงแค่เราตัดสินใจและยอมรับกับมันให้ได้
ว่าเราเลือกแล้ว และอย่าเสียดายในสิ่งที่ไม่ได้เลือก
แต่ให้ทำดีที่สุดในทางที่เราเลือก
ที่สำคัญอย่าไปตัดสินว่าพ่อแม่ทำแบบนี้ไม่ดี
หรืออย่าไปคาดหวังให้แฟนเราต้องเป็นแบบนี้
เพราะในโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากที่เรายังไม่รู้
เขาอาจมีความจำเป็นที่ต้องเป็นแบบนั้น
ต้องทำแบบนั้น เพียงแต่เขาไม่ได้มาบอกให้เรารู้
สิ่งที่เราทำได้คือ หัดสังเกตและพยายาม
มองในมุมเขามากกว่าในมุมของเรา
ก่อนจากกัน น้องเขาก็ตบท้ายประโยคที่ว่า
พี่เหมือนจะไม่ได้ตอบคำถามที่หนูถามไป
แต่หนูเหมือนกลับได้คำตอบอะไรบางอย่างกลับมา
ถึงตรงนี้มีอะไรที่อยากให้พี่ช่วยได้อีกไหม
น้องตอบว่า พี่ช่วยเป็นกำลังใจให้หนู
และร่วมลุ้นไปกับหนูละกัน
ที่เหลือ หนูคงต้องไปลงจัดการด้วยตัวหนูเอง
ขอบคุณพี่ซันนี่มากๆนะคะ แล้วน้องเขาก็เดินจากไป
ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนแรก
เราเองยังค่อยๆเก็บของต่อ
และคิดต่อว่า ตะกี้เราตอบอะไรน้องเขาไปบ้าง
มันช่วยทำให้เขาดีขึ้นหรือแย่ลงรึเปล่า
พอเก็บของเสร็จก็ปล่อยวางความคิดนั้นทันที
คิดแค่ว่าตะกี้ที่ตอบไป มันคงดีที่สุด ณ จุดนั้นแล้ว